วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

(ชนิด,หลักการทำงาน,อาการเสียเเละเเนวทางเเก้ไข)ของจอภาพเเสดงผล


ชนิดจอคอมพิวเตอร์

จอคอมพิวเตอร์มีหลายชนิดด้วยกัน โดยเราสามารถแบ่งจอคอมพิวเตอร์เป็นชนิดใหญ่ๆได้ 3 ชนิดด้วยกันคือ
1. จอแสดงผลแบบ CRT (Cathode Ray Tube Monitor) ซึ่งเป็นจอแสดงผลที่รับสัญญาณภาพแบบอนาล็อก (Analog) โดยมีการพัฒนาจอแสดงผล CRT มาจากจอโทรทัศน์ในสมัยนั้น โดยผู้ที่ริเริ่มในการสร้างจอแสดงผลแบบนี้คือ บริษัทไอบีเอ็ม ซึ่งในยุคต้น ๆจอแสดงผลจะยังไม่สามารถแสดงกราฟฟิกต่าง ๆได้เหมือนกับในปัจจุบัน
โดยหลักการทำงานของจอแสดงผลแบบ CRT นั้นจะทำงานโดยอาศัยหลอดภาพที่สร้างภาพเหมือนกับในโทรทัศน์ โดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ซึ่งมีสารประกอบของฟอสฟอรัสฉาบอยู่ที่ผิว เมื่อถูกแสงอิเล็กตรอนมากระทบ สารเหล่านี้จะเกิดการเรืองแสงขึ้นมา ทำให้เกิดเป็นภาพและสีตามสัญญาณ Analog ที่ได้รับมานั่นเอง ในปัจจุบันจอแสดงผลแบบ CRT นั้นเริ่มจะไม่เป็นที่นิยมแล้วเพราะว่ามีจอแสดงผลแบบใหม่มาทดแทนที่มีคุณสมบัติด้านการแสดงผลที่ดีกว่า
จอคอมพิวเตอร์
จอคอมพิวเตอร์แบบ CRT
2. จอแสดงผลแบบ LCD (Liquid Crystal Display) เป็นจอแสดงผลรุ่นที่สองต่อจากจอแสดงผลแบบ CRT ที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2506 ในสมัยแรกๆจอ LCD นั้นเริ่มใช้งานจริงๆในนาฬิกาและเครื่องคิดเลข เป็นจอแสดงผลตัวเลขขนาดเล็ก โดยหลักการทำงานของจอแสดงผลแบบ LCD นั้นจะใช้วัสดุประเภทผลึกเหลว (Liquid Crystal) มาใส่ไว้ในผิวของกระจก ใช้หลักการปรับเปลี่ยนโมเลกุลของผลึกเหลว เพื่อปิดกั้นแสงเมื่อมีสนามไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดสีขึ้น
ซึ่งข้อดีของจอแสดงผลแบบ LCD มีหลายอย่างแต่ที่เห็นได้ชัดคือจอ LCD จะประหยัดพลังงานมากกว่าจอแบบ CRT แต่ในข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นเดียวกันคือ จอ LCD คือมุมมองสำหรับการเห็นภาพค่อนข้างแคบ
จอคอมพิวเตอร์
จอคอมพิวเตอร์แบบ LCD
3. จอแสดงผลแบบ LED ( Light-emitting-diod) ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อทางการตลาด โดยชื่อจริงของเทคโนโลยีนี้คือ OLED (Organic Light Emitting Devices) โดยมีหลัการทำงานที่ไม่ยากและสลับซับซ้อนเท่าไรด้วยการนำหลอดLED มาเรียงรายกันเป็นแถว โดยภาพต่างๆจะเกิดขึ้นจากการติดดับของหลอด LED ทำให้เกิดภาพและสีที่ได้ชัดเจนกว่าจอแสดงผลแบบอื่น ๆโดยจอแสดงผลแบบ LED นี้เป็นเทคโนโลยีที่มาทดแทนและปิดจุดบกพร่องของจอแสดงผลแบบ LCD ซึ่งจอแบบ LED นั้นจะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของมุมมอง และอัตราการตอบสนองของภาพที่ไวกว่าแบบจอ LCD นอกจากนั้นจอแบบ LED ยังประหยัดไฟฟ้าได้ดีกว่าแบบ LCD อีกด้วย
จอคอมพิวเตอร์
จอคอมพิวเตอร์แบบ LED
จอแสดงผลทุกแบบต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ถึงแม้เทคโนโลยีจอแสดงผลแบบ LED ใหม่ล่าสุดและดีที่สุดในตอนนี้แต่ปัญหาเรื่องราคาที่สูงมาก เมื่อเทียบกับจอแสดงผลรุ่นเก่าที่มีราคาถูกกว่า ในปัจจุบันเรายังพบเห็นการใช้งานจอแสดงผลแบบ CRT และ LCD อยู่ และคาดว่าในอนาคตเทคโนโลยี LED จะมีราคาที่ถูกลงอย่างแน่นอน


หลักการทำงานของจอภาพเเสดงผล




จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลผลลัพธ์ (Output) มีรูปร่างลักษณะคล้ายเครื่องรับโทรทัศน์ สามารถแสดง ผลได้ทั้งตัวหนังสือ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว

            

จอภาพโดยทั่วไปมีทั้งที่เป็นสีเดียว (Monochrome) อาจจะเป็นสีเทา สีส้ม หรือสีขาว บนสีดำ และจอภาพแบบหลายสี (Colourสามารถแสดงสีได้ตั้งแต่ 16,256, 65,536 และ 16,177,216 สี ปัจจุบันนิยมใช้จอภาพสีมากกว่าจอสีเดียว

ขนาดความกว้างของจอภาพมีหลายขนาด ที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปคือ ขนาด 14 และ 15 นิ้ว แล้วถ้าใช้งานสิ่งพิมพ์หรือ ออกแบบกราฟิก อาจใช้จอใหญ่มากขึ้น ขนาด 17 หรือ 21 นิ้ว ซึ่งก็จะมีความละเอียดในการแสดงผลมากน้อยไม่เท่า กัน โดยความละเอียดของภาพจะมีหน่วยเป็น พิกเซล (Pixel) ในแนวตั้งและแนวนอน เช่น 640x480, 800x600, 1,024x768, 1,280x1,024 เป็นต้น ยิ่งมีขนาดของพิกเซลมาก ขนาดของภาพจะมีความละเอียดสูงมากขึ้น ทำให้มี เนื้อที่ใช้งานบนจอมากขึ้น

ลักษณะของจอภาพ มีดังนี้
1. จอภาพแบบ VGA (Video Graphics Array) มีความละเอียดของพิกเซล 640x480 จุด เหมาะสำหรับการใช้ งานตามบ้านทั่ว ๆ ไป มีขนาดของจอภาพ 14 หรือ 15 นิ้ว
2. จอภาพแบบ SVGA (Super Video Graphics Array) จะมีความละเอียดของพิกเซล 800x600 จุด เหมาะ สำหรับใช้ในงานธุรกิจ หรือตามสำนักงานทั่ว ๆ ไป ขนาดที่นิยมคือ 14 หรือ 15 นิ้ว ส่วนจอที่มีความละเอียดของ พิกเซล 1,280x1,024 จุด เหมาะสำหรับใช้ในงานออกแบบกราฟิกต่าง ๆ

จอภาพในปัจจุบันจะเน้นเรื่องความปลอดภัยต่อผู้ใช้จากการแผ่รังสี เพราะหากเป็นจอรุ่นเก่า รังสีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่แผ่ออกมาจากจออาจเป็นอันตรายต่อสายตาได้ ผู้ใช้จีงควรหาแผ่นกรองแสงมาติดไว้ที่จอภาพก็จะช่วยได้และปัจจุบัน จอภาพที่ใช้จะมีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน ถึงเราจะเปิดทิ้งไว้เป็นเวลานานโดยไม่ได้ใช้งานก็จะไม่สิ้นเปลืองพลังงาน มาก นอกจากนี้ในโปรแกรมวินโดวส์ยังมีสกรีนเซฟเวอร์ช่วยในการถนอมจอภาพด้วย

Monotor Technology
จอภาพทำงานโดยการแสดงภาพ ซึ่งอาจเป็นภาพกราฟิกหรือตัวอักษร ซึ่งเกิดจากการประมวลผลของการ์ดวีจีเอ (VGA Card) จอภาพแบ่งเป็น ประเภท คือจอภาพสีเดียวหรือจอภาพโมโนโครม ( Monochrome) และจอสี (Color Monitor) ปัจจุบันจอภาพสีเดียวนั้นไม่เป็นที่นิยมใช้กับคอมพิวเตอร์ หากจะมีใช้ก็เฉพาะงานเฉพาะอย่างเท่านั้น ส่วนที่นิยมใช้ก็คือจอสี โดยแบ่งได้อีกเป็น 3 ประเภท คือจอสีวีจีเอ (VGA = Video Graphics Array) และจอสีSuper VGA (SVGA = Super Video Graphics Array ) และจอ LCD (Liquid Crystal Display) ซึ่งประเภทหลังนี้มีราคาแพงมาก จอภาพที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือจอ SVGA เนื่องจากมีราคาไม่แพงมากนัก และเหมาะกับ Application ที่ออกแบบให้มีความสามารถแสดงภาพกราฟิก นอกจากนี้ Application ประเภทมัลติมีเดียหรือเกมส์ต่างๆ ต่างก็ต้องการจอภาพที่มีความละเอียดสูง (High Resolution) สามารถแสดงสีได้หลายๆสี


จอภาพมีหลักการทำงานแบบเดียวกับจอโทรทัศน์โดยจะมีกระแสไฟฟ้าแรงสูง ( High Voltage) คอยกระตุ้นให้อิเล็กตรอนภายในหลอดภาพแตกตัว อิเล็กตรอนดังกล่าวจะทำให้เกิดลำแสงอิเล็กตรอนไปกระตุ้นผลึกฟอสฟอรัสที่ฉาบอยู่บนหลอดภาพ เมื่อฟอสฟอรัสถูกกระตุ้นจากอิเล็กตรอนจะเกิดการเรืองแสงและปรากฏเป็นจุดสีต่างๆ (RGB Color) ซึ่งรวมเป็นภาพบนจอภาพนั่นเอง

ความเป็นมาของการ์ดวีจีเอ
การ์ดวีจีเอหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ VGA Adapter Card ทำหน้าที่ควบคุมการแสดงผลของจอภาพ โดยข้อมูลที่จะแสดงจะถูกส่งจากซีพียูมายังการ์ดวีจีเอ เพื่อประมวล ในขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลจากดิจิตอลเป็นอนาล๊อก แล้วส่งไปยังวงจรควบคุมสี (RGB Circuit) ของจอภาพ เพื่อให้ปรากฎเป็นภาพบนหน้าจอ


  

สถาปัตกรรมของการ์ดวีจีเอ
แรกทีเดียว การ์ดวีจีเอใช้อินเทอร์เฟซ (Interface) แบบ VESA Local BUS สามารถประมวลผลแบบ 16 บิต ต่อมา เมื่อการพัฒนาคอมพิวเตอร์เป็นไปในระดับสูงขึ้น Intel แนะนำ PCI Interface สู่ตลาด ภาคอินเตอร์เฟซของการ์ดวีจีเอจึงเปลี่ยนมาเป็น PCI เพราะมี Bandwidth สูงกว่า สามารถประมวลผลและส่งข้อมูลได้เร็วกว่า คือประมวลผลได้ 32 บิต และตัวการ์ดเอง ชิปประมวลผลทำงานภายในโดยการประมวลผลที่ 64 บิต ต่อมาในปี 2540 อินเทลได้พัฒนาพอร์ต AGP (Accelerator Graphic Port) ขึ้นมาสำหรับการ์ดแสดงผลโดยเฉพาะ เนื่องจากเห็นว่าพอร์ตแบบ PCI นั้นเป็นพอร์ตเอนกประสงค์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วงประเภทอื่นมากกว่าที่จะเหมาะสำหรับการ์ดแสดงผล ตามสถาปัตยกรรมของ AGP ภาคอินเตอร์เฟซของการ์ดจะติดต่อกับเมนบอร์ดแบบ 64 บิต

หากดูบนการ์ดจีเอ จะพบส่วนประกอบที่สำคัญๆ คือ ชิปประมวลผลกราฟิก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการ์ด ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่รับจากซีพียู เมื่อการประมวลผลเสร็จสิ้นจะส่งข้อมูลไปให้กับจอภาพ โดยผ่านวงจร RGB (Red Green Blue Circuit) เพื่อประมวลเป็นภาพต่อไป สำหรับชิปเซ็ตของวีจีเอนั้นมีผู้ผลิตหลายยี่ห้อ และได้รับการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ จากชิปเซ็ตธรรมดา เป็นชิปเซ็ตสำหรับแสดงภาพ มิติและล่าสุดสำหรับ มิติ ความเร็วของการประมวลผล กลไกและอัลกอริทึมของการประมวลผลทำให้การ์ดวีจีเอที่ใช้ชิปคนละตัวมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน
ศัพท์ที่ควรทราบเกี่ยวกับจอภาพ 

Dot Pitch(Phosphor Pitch )
Dot Pitch (Phosphor Pitch) คือความห่างระหว่างจุดของฟอสฟอรัสซึ่งฉาบอยู่บนหลอดภาพ ถ้าจุดแต่ละจุดห่างกันน้อยก็จะทำให้ภาพละเอียดมากขนาดระหว่างจุดของฟอสฟอรัสนั้นมีหลายขนาด เช่น 0.25, 0.26, 0.28, 0.29, 0.31ฯลฯ มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ตัวเลขดังกล่าวนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะแสดงว่าความห่างระหว่างผลึกฟอสฟอรัสยิ่งน้อยจะยิ่งแสดงภาพได้ละเอียดมากขึ้น เมื่อนำขนาดของความห่างและความละเอียดของการแสดงภาพมากำหนดประเภทของจอภาพจะได้ประเภทของจอภาพดังต่อไปนี้
จอสีวีจีเอ ขนาด 14 นิ้ว 640 x 480 ) สามารถแสดงรูปขนาด 11.2 x 8.4 นิ้ว จะมีขนาดพิกเซลประมาณ 0.018 นิ้วหรือ 0.44 มิลลิเมตร ( ต้องไม่มากกว่านี้ )
จอสีซุปเปอร์วีจีเอ ขนาด 14 นิ้ว (1024 x 768 ) จะมีขนาดของพิกเซล 0.28 มิลลิเมตร (ต้องไม่มากกว่านี้)

Interlaced & Non-Interlaced
Interlaced คือการแสดง(สร้าง)ภาพแบบสลับเส้น ตัวอย่างเช่นในโทรทัศน์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะใช้การแสดงภาพแบบ 625 เส้น และสลับการ Scan ภาพจากหน้าจอที่เห็นจะเกิดจากการ Scan ให้เกิดภาพ รอบ โดยที่รอบแรกจะ Scan เส้นคู่ คือ 2,4, 6... จนครบ 624 รอบที่สองจะ Scan เส้นคี่คือ 1,3,5... .จนครบ 625
Non-Interlaced คือ Scan ภาพแบบต่อเนื่อง เรียงจากเส้นที่ จนจบจอภาพ จอภาพแบบนี้จะเหมาะกับคอมพิวเตอร์มากกว่าแบบแรกเพราะการต่อของจุดจะต่อเนื่องและลดการสั่นไหวของภาพ
สรุปก็คือ จอภาพแบบ Non-Interlaced คือจอภาพที่ไม่มีการกระโดดข้ามในเวลาที่ปืนยิงอิเล็คตรอน ยิงจุดออกมา โดยจะยิงออกมาจากบนลงล่างทีละเส้นต่อๆกันไป ส่วนจอภาพแบบ Interlaced การยิงออกมามีการกระโดดแถวเว้นแถวเพื่อลดต้นทุนการผลิต แต่ยังให้ภาพออกมาในระดับที่ใกล้เคียงแบบ Non Interlaced

Low-Radiation
Low-Radiation คือมีการกระจายรังสีต่ำ ตามมาตรฐาน MPR-II ของ SSI (Swedish National Institute of Radiation Protection) จอภาพที่มีการกระจายรังสีจะช่วยถนอมสายตา เนื่องจากการทำงานบนคอมพิวเตอร์นาน ๆ การทดสอบว่าจอภาพมีการกระจายรังสีต่ำหรือไม่นั้นทดสอบได้โดยเปิดสวิตช์จอภาพแล้วลองเอามือหรือช่วงแขนไว้ใกล้จอภาพให้มากที่สุด ถ้ารู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตย์ แสดงว่าเป็นจอภาพแบบธรรมดา (หรือจะทดลองกับจอโทรทัศน์ก่อนก็ได้เพื่อจำความรู้สึก ยกเว้นว่าโทรทัศน์ก็เป็นแบบ Low Radiation ถ้าเป็นจอภาพ Low-Radiation จะแทบไม่รู้สึกเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตย์เลย

Resolution
Resolution คือความละเอียดของการแสดงภาพหรือสแกนภาพออกมาได้ความละเอียดมากเท่าไร ความสามารถในการแสดงภาพได้ละเอียดมากขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของจอภาพ VGA จะแสดงภาพได้ละเอียดน้อยกว่า SVGA ยิ่งกำหนดความละเอียดในการแสดงสีมากเท่าไร ภาพจะละเอียดมากขึ้น แต่ตัวอักษรบนจอภาพจะเล็กลง โดยจะบอกเป็นค่าสองค่า อย่างเช่น 1024 x 768 ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาแล้วก็ คือจำนวนจุดที่จอภาพสามารถผลิตออกมาได้ ในกรณีนี้ เลขตัวแรกคือ Vertical คือจำนวนเส้นในแนวตั้งเท่ากับ 1024 เส้น เลขตัวต่อมาคือ Horizontal คือจำนวนเส้นในแนวนอนเท่ากับ 768 เส้น เมื่อเอาตัวเลข ตัว มาคูณกัน ผลลัพธ์คือจำนวนจุดบนจอภาพซึ่งคือ ความละเอียด (Resolution)





อาการเสียเเละเเนวทางเเก้ไข


หน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ติดมีแต่เสียงร้อง

zz
สาเหตุ ก่อนอื่นเช็คสายที่เชื่อมต่อระหว่าง จอ กับ คอม ครับ ว่าขั้วต่อทั้งสองจุดเสียบแน่นดีหรือเปล่า ลองถอดออกมาแล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่ให้สุด หมุนสกรูให้แน่น
ถ้าอย่างแรกไม่ได้ผล ปิดเครื่องถอดปลั๊กไฟ เปิดฝาคอมออก เช็คว่าการ์ดจอเสียบกับเมนบอร์ดแน่นหรือเปล่า ลองเอามือดันดู แต่ถ้าจะให้ดีแกะการ์ดจอออมาทำความสะอาดให้ทั่วๆ โดยเฉพาะที่ขั้วแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ให้แน่น
ถ้ายังไม่เห็นผลอีกค่อยเช็คส่วนอื่นๆ ที่บอกว่าไฟ cpu ติดตามปกติ ไฟที่ฮาร์ดิสก์กระพริบด้วยหรือเปล่า


ปัญหาหน้าจอคอมพิวเตอร์มีภาพเบลอ

10945328_953334011344347_38698091_n

อาการเสียของภาพ ที่จับ ปกติแล้วภาพที่จับโดย print screen ไม่จำเป็นต้องเป็นภาพจริงบนจอนะครับ มันคือภาพที่การ์ดจอส่งออกมาเท่านั้นเองถ้าคุณปิดจอให้มืด แล้วกด print screen แล้วนำไป paste ในโปรแกรม paint ก็ยังจะมีภาพขึ้น (แม้ว่าจอจะมืด) พอจะนึกภาพออกยัง ถ้าคิดว่าเป็นความปกติจากจอภาพ(เพราะเห็นบอกว่าเป็นจอใหม่) ให้ใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายจอภาพมา อย่าใช้ print screen
วิธีแก้ปัญหาเบื่องต้
ถ้าจอเคยใช้ได้ปกติ แต่วันนี้เบลอ แนะนำให้ลองเอาจอไปต่อเครื่องอื่นว่าปกติไหม ถ้าเบลอเหมือนกันแสดงว่าจอเสีย ถ้าปกติแสดงว่าเป็นที่การ์ดจอ ให้ลองลง driver ใหม่ดู อีกกรณีคือมีการไปแก้ setting หรือเปล่า ลองเช็คความละเอียดดูว่าตรงกับ optimal resolution ของจอไหม ปกติจะเขียนบนกล่องจอนั่นแหละ
สุดท้าย ผมแนะนำนะถ้ามีปัญหาด้านเทคนิค ให้บอกเสป็คคอม สเป็คจอ ขนาด ความละเอียดมา เอาแต่เนื้อๆ น้ำไม่ต้อง ผมอ่านคุณบรรยายแล้วเหนื่อยครับ เมื่อไหร่จะเข้าเรื่องซักที อ่านจนจบก็ไม่มีรายละเอียดอยู่ดี เช่นความละเอียดของจอ ถ้าคุณบอกรุ่นจอมาผมก็ตอบให้ได้ แต่คุณเล่นไม่บอกรุ่นมา ไม่รู้จะอุบไว้ทำไม มาถามปัญหาหรือมาทายปัญหากันแน่

ปัญหาหน้าจอคอมพิวเตอร์มีสีเลอะ


a


อาการ เสีย จอLCD บูทเข้าเครื่องได้แต่สีที่หน้าจอ เปลี่ยน เพี้ยนไปหมด ไม่สด บางช่วงสีขาดๆๆ หายๆๆ เมื่อเข้าได้แล้ว
ไอคอน บนเดสทอปตัวใหญ่มาก สีเปลี่ยนดูเลอะเทอะ ซีดๆๆ หายๆ
วิธีแก้ไข
ถ้าสีที่หน้าจอเปลี่ยนเพี้ยนเฉย ๆ อาจเป็นที่จอมีปัญหา
แต่ถ้าบอกว่า ไอคอนบนเดสทอปตัวใหญ่มาก เรื่องนี้ไม่ได้เป็นที่จอแต่เป็นที่ระบบโปรแกรม ( OS )
ใ้ช้วินโดว์หรือเปล่า วินโดว์เวอร์ชั่นไหน ลองปรับ Screen resolution และ Color quality ดูหรือยัง
โดยคลิกขวาที่ Desktop เลือก Properties –> Settings –> เลื่อนเลือก Screen resolution แบบต่าง ๆ
( ยิ่งเลือกความละเอียดหน้าจอ Screen resolution สูงมาก ยิ่งทำให้ไอคอนเล็กลง ) และลองเลื่อนเลือก Color quality แบบต่าง ๆ

ปัญหาเกิดเส้นแนวนอน เส้นเดียวกลางจอคอมพิวเตอร์


10968791_887032474681307_1095037891_o

การที่มีเส้นขึ้นมา ไม่ใช่เป็นที่ไวรัสหรือระบบบอะไรเเน่นอน เเต่เกิดจากการกระเเทก ทำให้รายเส้นจะหายไปเเถบหนึ่ง
ถ้าเป็นจอรุ่นเก่าๆเวลาเจ๊งจะเป็นเเนวตั้ง เเต่รุ่นใหม่ๆจะเป็นเเนวนอนต้องดูอายุการใช้งาน ถ้ายังอยู่ในประกันก็เบาใจ


ปัญหาหน้าจอคอมพิวเตอร์ สีเพี้ยน


aas
ปัญหาสีเพี้ยนของหน้าจอแก้ปัญหาอย่างไร
        ปัญหาสีเพี้ยนลักษณะนี้อาจเกิดจากคลื่นแม่เหล็กที่วางอยู่ใกล้ ( ตู้เย็น,เตาอบไมโครเวฟ,ลำโพง ) ถาพที่ปรากฎ จึงมีสีเพี้ยนไปซึ่งหากว่ามีการนำลำโพงที่ไม่มี Shield ป้องกันคลื่นแม่เหล็ก ไปวางไว้ข้างจอคอมพิวเตอร์ ก็อาจพบว่าภาพบนจอคอมพิวเตอร์แสดงสีเพี้ยน ๆ เพราะว่าในตัวของลำโพงจะประกอบไปด้วยคลื่นแม่เหล็กแรงสูงอยู่ภายใน จึงทำให้มอนิเตอร์ที่มีการใช้สนามแม่เหล็กในการควบคุมการยิงเม็ดสี ให้ตกกระทบ ตรงตำแหน่งบนหน้าจออย่างถูกต้อง เกิดอาการยิงผิดยิงถูก ภาพที่ออกมาจึงมีสี เพี้ยนไปวิธีการแก้ไขเพียงวางลำโพงให้ห่างจากจอคอมพิวเตอร์พอประมาณ หรือหาลำโพงที่ Shield ป้องกันคลื่นแม่เหล็กมาใช้ ภาพสีก็จะหายไปครับ แต่ถ้าอาการยัง ไม่ดีขึ้น ควรให้ช่างตรวจเช็คดูดีกว่า เพราะบางทีอาจมีปัญหาที่จอมอนิเตอร์เอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น