Internet of Things หรือ IoT คือ สภาพแวดล้อมอันประกอบด้วยสรรพสิ่งที่สามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกันได้ผ่านโพรโทคอลการสื่อสารทั้งแบบใช้สายและไร้สาย โดยสรรพสิ่งต่างๆ มีวิธีการระบุตัวตนได้ รับรู้บริบทของสภาพแวดล้อมได้ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบและทำงานร่วมกันได้ ความสามารถในการสื่อสารของสรรพสิ่งนี้จะนำไปสู่นวัตกรรมและบริการใหม่อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น เซ็นเซอร์ภายในบ้านตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัย และส่งสัญญาณไปสั่งเปิด/ปิดสวิตซ์ไฟตามห้องต่างๆ ที่มีคนหรือไม่มีคนอยู่ อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพของผู้ป่วย/ผู้สูงอายุและส่งข้อมูลไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือส่งข้อความเรียกหน่วยกู้ชีพหรือรถฉุกเฉิน เป็นต้น
นอกจากนี้ IoT จะเปลี่ยนรูปแบบและกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า Industry 4.0 ที่จะอาศัยการเชื่อมต่อสื่อสารและทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องจักร มนุษย์ และข้อมูล เพื่อเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีความถูกต้องแม่นยำสูง โดยที่ข้อมูลทั้งหลายที่เก็บจากเซ็นเซอร์ที่ใช้ตรวจวัดตัวอุปกรณ์และสภาพแวดล้อมจะถูกนำมาวิเคราะห์ ให้ได้ผลลัพธ์เพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างทันที นอกจากการข้ามขีดจำกัดเรื่องเวลาแล้ว ระบบควบคุมหรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล อาจไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันกับเครื่องจักร แต่สามารถควบคุมสั่งการได้โดยไร้ขีดจำกัดเรื่องสถานที่
เทคโนโลยีที่ทำให้ IoT เกิดขึ้นได้จริงและสร้างผลกระทบในวงกว้างได้ แบ่งออกเป็นสามกลุ่มได้แก่
1) เทคโนโลยีที่ช่วยให้สรรพสิ่งรับรู้ข้อมูลในบริบทที่เกี่ยวข้อง เช่น เซ็นเซอร์
2) เทคโนโลยีที่ช่วยให้สรรพสิ่่งมีความสามารถในการสื่อสาร เช่น ระบบสมองกลฝังตัว รวมถึงการสื่อสารแบบไร้สายที่ใช้พลังงานต่ำ อาทิ Zigbee, 6LowPAN, Low-power Bluetooth และ
3) เทคโนโลยีที่ช่วยให้สรรพสิ่งประมวลผลข้อมูลในบริบทของตน เช่น เทคโนโลยีการประมวลผลแบบคลาวด์ และเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data Analytics
ในด้านสถานะการพัฒนา เทคโนโลยีในกลุ่มเซ็นเซอร์ในปัจจุบันมีความแม่นยำสูง และราคาถูกมาก ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเซ็นเซอร์คุณภาพสูงสำหรับงานด้านการเกษตร และอุตสาหกรรม ส่วนเทคโนโลยีระบบสมองกลฝังตัวก็มีความสามารถสูงขึ้นในราคาที่ถูกลง แผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์ขนาดเล็กที่มีความสามารถสูงเทียบเท่าคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันมีราคาตั้งแต่สามร้อยบาท อีกทั้งมีฮาร์ดแวร์แบบโอเพ่นซอร์สมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตอุปกรณ์ IoTต่ำลงมาก นักพัฒนาชาวไทยสามารถนำฮาร์ดแวร์เปิดเหล่านี้ไปดัดแปลงและขายเป็นบอร์ดเฉพาะทาง หรือสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเทคโนโลยีการประมวลผลแบบคลาวด์ และเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ในต่างประเทศผ่านจุดของการวิจัยมาสู่บริการเชิงพาณิชย์แล้ว ในประเทศไทย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) มีบริการคลาวด์แพลตฟอร์ม NETPIE สำหรับให้บริการเชื่อมต่อสื่อสารในรูปแบบ IoT
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้พัฒนาชาวไทยและประเทศไทยที่จะเข้ามามีบทบาท ไม่ใช่ในฐานะผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังสามารถมีส่วนกำหนดทิศทาง สร้างนวัตกรรม บริการ ผลิตภัณฑ์หรือมาตรฐานใหม่ เพื่อก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำด้าน IoT ของโลกได้
อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีทุกวันนี้ ตั้งแต่ smart phone, smartwatch ไปจนถึงเครื่องใช้ต่างๆ ที่ดูจะเต็มไปด้วยภูมิปัญญา สามารถเชื่อมโยงระหว่างกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต เครือข่ายในลักษณะนี้มีชื่อเรียกว่า ‘The Internet of Things ย่อๆ ว่า IoT
เมื้อเร็วๆ นี้ Jordi Ortega ขับรถเพื่อทดลอง app ในมือถือที่บริษัทประกันพัฒนาขึ้นมาใช้ติดตามดูพฤติกรรมการขับรถของลูกค้า app ในมือถือนี้มีชื่อเรียกว่า ‘Driver Feedback’ ซึ่งใช้ระบบ GPS ควบกับมาตรวัดความเร่ง และนอกจากเก็บข้อมูลในขณะที่รถเคลื่อนที่แล้ว app นี้ยังให้คะแนนคนขับรถด้วย
การเชื่อมโยงระหว่าง app ซึ่งแปรมือถือให้เป็นอุปกรณ์จับความเคลื่อนไหวให้กับแผ่นเซ็นเซอร์ในถนน เพื่อวัดปริมาณการจราจรและอัตราความเร็วของรถ โดยผ่านทางอินเทอร์เน็ต คือส่วนหนึ่งของ IoT หรือ The Internet of Things
Bhaskar Krishnamachari ผู้เชี่ยวชาญ IoT ที่มหาวิทยาลัย Southern California บอกว่า IoT จะเป็นประโยชน์กับนักวางผังเมืองมาก เพราะอุปกรณ์เซ็นเซอร์นี้วัดได้ทุกอย่าง ตั้งแต่มลภาวะสิ่งแวดล้อมไปจนถึงสภาพถนน โครงสร้างพื้นฐานของอาคารและสะพาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้กำหนดและดำเนินนโยบายเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้น
ในขณะเดียวกัน IoT ยังสามารถช่วยให้เราเข้าใจตัวเราเองได้ดีขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น กระจกดิจิทัลของห้องแล็บ Memomi ซึ่งมีกล้องติดไว้ข้างบน คอยจับภาพผู้ส่องกระจกได้ทุกแง่มุม แถมยังเปลี่ยนสีเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ด้วย และเจ้าตัวสามารถส่งวิดีทัศน์ที่กล้องถ่ายไว้ ให้เพื่อนฝูงดูเพื่อออกความคิดเห็นติชมได้อย่างรวดเร็วทันใจ
Salvador Nissi Vilcovsky ผู้ก่อตั้ง MemoMi บอกว่า ในอนาคตไม่ไกล กระจกจะเติมแต่งเครื่องประดับให้ผู้ส่องกระจก จะได้ทันโลกทันแฟชั่นล่าสุด ไม่ว่าจะออนไลน์หรือที่วางขายตามร้าน
นักประดิษฐ์และนักธุรกิจผู้นี้เชื่อว่า อิทธิพลของดิจิทัลในวงการค้าปลีก มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร และอยู่ที่ไหนก็มีอุปกรณ์ดิจิทัลถือติดมือกันแทบทุกคนแล้ว
Bridget Karlin ของบริษัท Intel ผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลกให้ข้อมูลที่สนับสนุนแนวคิดนี้ว่า ภายในห้าปีข้างหน้า จะมีอุปกรณ์ดิจิทัลให้ได้ใช้กัน 50,000 ล้านชิ้น เทียบกับจำนวนประชากรโลกแล้ว หมายความว่า แต่ละคนจะมีอุปกรณ์ดิจิทัลใช้ถึง 6 ชิ้น
อย่างไรก็ตาม Bhaskar Krishnamachari ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Internet of Things เตือนว่า การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเข้ากับทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเรานั้น จะต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครเจาะล้วงระบบโดยที่เราไม่รู้หรือไม่ได้อนุญาตให้ทำเช่นนั้น
และสำหรับผู้ที่สงสัยว่า Jordi Ortega สอบขับรถผ่านหรือไม่นั้น app ในมือถือให้คะแนนเขา 88 รวมทั้งแนะนำให้เขาหัดเบรครถให้มากขึ้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น